เปิดเวทีความร่วมมือด้านนวัตกรรมไทย–ยุโรป สู้ความไม่แน่นอนของโลก ด้วยระบบนิเวศที่เชื่อมโยงคน–ความคิด–เทคโนโลยี

ในเวทีเสวนาระดับนานาชาติภายใต้หัวข้อ “Innovation Ecosystem and National Competitiveness in the Face of Global Uncertainties” ตัวแทนระดับสูงจาก 5 ประเทศจากภูมิภาคยุโรปและอเมริกาใต้ ได้แก่ ชิลี เช็ก ฟินแลนด์ สวีเดน และฮังการี และกระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรม เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง

เปิดเวทีด้วยคำกล่าวของ H.E. Mr. Patricio Powell Osorio เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลีประจำประเทศไทย ที่เน้นย้ำว่าการสร้างระบบนวัตกรรมต้องมีทั้งกรอบสถาบัน นโยบายที่ชัดเจน และความร่วมมือจากภาคประชาชน โครงการ “Startup Chile” ถือเป็นกรณีศึกษาสำคัญของการดึงดูดผู้ประกอบการจากทั่วโลกมาร่วมสร้างสรรค์ไอเดียในประเทศ เพื่อกระตุ้นผู้ประกอบการท้องถิ่น พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทรัพยากรท้องถิ่น เช่น เหมืองแร่ เกษตร และประมง

H.E. Mr. Pavel Pitel เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็ก กล่าวถึงการพลิกฟื้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างระบบนวัตกรรมที่อิงกับรากฐานการศึกษากว่า 700 ปี เช็กประสบความสำเร็จในการสนับสนุนสตาร์ตอัปและเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งในอุตสาหกรรมการแพทย์ นาโนเทคโนโลยี และอวกาศ พร้อมใช้กลไก “Regulatory Sandbox” เพื่อให้สตาร์ตอัปฟินเทคสามารถทดลองนวัตกรรมในโลกความจริงได้อย่างปลอดภัย

H.E. Ms. Kristiina Kuvaja-Xanthopoulos เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ ชี้ว่าการพึ่งพาบริษัทเดียวอย่าง Nokia ทำให้ฟินแลนด์เผชิญวิกฤตอย่างหนักเมื่อธุรกิจล่มสลาย รัฐบาลจึงลงทุนใหม่ทั้งระบบ รวมมหาวิทยาลัย 3 แห่งก่อตั้ง Aalto University และบรรจุหลักสูตรผู้ประกอบการตั้งแต่ระดับประถม ส่งผลให้จำนวนสตาร์ตอัปเติบโตถึง 10 เท่าใน 15 ปี

H.E. Ms. Anna Hammargren เอกอัครราชราชทูตราชอาณาจักรสวีเดน ยกกรณีศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมสีเขียว เช่น เหล็กไร้มลพิษ เรือไฟฟ้า และการดักจับคาร์บอน โดยเน้นว่าสวีเดนยังคงเป็นผู้นำด้าน R&D ระดับโลก ด้วยการลงทุนกว่า 3% ของ GDP และรักษาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์

Ms. Kamilla Balla ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฮังการี ได้นำเสนอ “John von Neumann Programme” แผนยุทธศาสตร์นวัตกรรมแห่งชาติ ที่มุ่งพัฒนา 9 ด้าน เพื่อผลักดันฮังการีให้ก้าวสู่ 1 ใน 10 ประเทศผู้นำนวัตกรรมของโลกภายในปี 2040

ปิดท้ายด้วย นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ ที่สรุปว่า การเชื่อมโยงระหว่างประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้ของไทยในอนาคต พร้อมย้ำว่าประเทศไทยสามารถเรียนรู้จากโมเดลความสำเร็จของพันธมิตรจากเครือข่ายต่างประเทศ และปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น เพื่อสร้างสังคมนวัตกรรมที่แข็งแรง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับโลก

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *